ความหมายของดอกลิลลี่

ความหมายของดอกลิลลี่

ดอกลิลลี่สีขาว (white lilly) แสดงออกถึงความรักที่บริสุทธิ์  ความรักแบบอ่อนหวาน จริงใจ และเทิดทูน

ดอกลิลลี่สีชมพู (pink lilly) แสดงออกถึงการค้นหาความรักที่ดีที่สุดแล้วพบเจอมัน  เป็นดอกไม้ที่ผสมผสานอารมณ์ของความรักได้ อย่างลงตัว สื่อถึงความรักความจริงใจที่มี



ดอกลิลลี่สีส้ม (orange lilly) แสดงออกถึงความร่าเริง สดใส ความปิติสุขที่ได้อยู่ใกล้  เป็นดอกไม้ที่นำความน่ารักและความสดใสมารวมกันอย่างพอดี



ดอกลิลลี่สีเหลือง (yellow lilly) แสดงออกถึงความอบอุ่นที่ห่วงใย ของความรักที่มั่นคง  แสดงออกถึงความห่วงใย ห่วงหาอาทร  เป็นดอกไม้ทสื่อความหมายได้อย่างลึกซึ้ง



 ดอกคาลล่าลิลลี่ (calla lily)  แสดงออกถึงความสง่างาม สวยตราตรึง มีหลากหลายสี สีไอวอรี่ สีครีม สีเหลือง สีส้ม ม่วง สีม่วงชมพู สีชมพู สีเขียว สีที่ได้รับความนิยมคือคาลล่าลิลลี่สีไอวอรี่และสีขาว

ที่มา  http://my.dek-d.com/kurama1412/blog/

ดอกลิลลี่

ดอกลิลลี่

ชื่อวิทยาศาสตร์ Lilium spp.

ชื่อสามัญ Lily,  Easter Lily

ถิ่นกำเนิด ในทวีปเอเชียแถว ๆ จีนและญี่ปุ่น

ลิลลี่ (Lily, Lilium hybrids) เป็นไม้ดอกประเภทหัว มีดอกขนาดใหญ่เป็นสง่าและสวยงามมาก บางชนิดมีกลิ่นหอมมาก นับว่าเป็นดอกไม้ที่มีราคาแพงที่สุดในปัจจุบัน ใช้ได้ทั้งเป็นไม้ตัดดอกและไม้กระถาง ชนิดที่นิยมปลูกในปัจจุบันคือ ลิลลี่ปากแตร เนื่องจากดอกมีรูปทรงเหมือนแตร ชนิดนี้มีดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ในต่างประเทศเรียก Easter lily อีกชนิดหนึ่งเป็นลูกผสมเอเชีย (Asiatic hybrids) มีช่อดอกตั้ง มีดอกหลายสี ชนิดนี้มีดอกไม่หอม อีกชนิดหนึ่งมีดอกหอมมากมีราคาแพงที่สุด คือลูกผสม Oriental hybrids
ในพื้นที่ของโครงการหลวง เช่น ดอยปุย ดอยอ่างขาง และดอยอินทนนท์ พบว่ามีลิลลี่พันธุ์พื้นเมือง หรือเรียกว่าลิลลี่ดอยขึ้นอยู่ในป่า ออกดอกในเดือนสิงหาคมดอกหอมมากโดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่มีอากาศหนาวเย็น
ปัจจุบันนี้โครงการหลวงได้ทำการวิจัยขยายพันธุ์ลิลลี่ โดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อให้เกษตรกรชาวเขาปลูก นอกจากนี้ยังได้ทำการปรับปรุงพันธุ์ลิลลี่ลูกผสมต่างชนิด โดยใช้พ่อแม่พันธุ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศผสมกับลิลลี่ดอยอีกด้วย

ที่มา http://www.the-than.com/FLower/Fl-2/131/131.html

พันธุ์กุหลาบที่ใช้ปลูกเป็นไม้มงคล

พันธุ์กุหลาบที่ใช้ปลูกเป็นไม้มงคล

1. พันธุ์กุหลาบสีขาว ได้แก่
– Misty Morn
– Blanche Mallerine
– White Christmas

2. พันธุ์กุหลาบดอกสีเหลือง ได้แก่
– King’s Ransom
– Golden Master Piece

3. พันธกุหลาบุ์ดอกสีแดง ได้แก่
– Christian Dior
– Swarthmore
– Scarlet Knight

4. พันธุ์กุหลาบดอกสีชมพู
– Bel Ange
– Queen Elizabeth

5. พันธุ์กุหลาบดอกสีแสด ได้แก่
– Super Star
– Tanya

6. พันธุ์กุหลาบดอกสีม่วง
– Blue Moon

ที่มา : http://www.maipradabonline.com/maimongkol/kulab.htm

อาหารจากกลีบกุหลาบ

อาหารจากกลีบกุหลาบ

        

 

ยำกลีบกุหลาบ

ครื่องปรุง

กุหลาบแกะเอาแต่กลีบรอบๆ 1 จาน (กลีบตรงกลางใกล้เกสรจะขมมากเลยไม่เอา)

หอมใหญ่หรือหอมแดง หั่นบางๆ 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2-3 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูซอย 4-5 เม็ด
กุ้งสด ปริมาณตามชอบ ใครจะใช้หมูสับแทนก็ได้
ผักชี ตามชอบถ้าต้องการใส่
วิธีทำ

ล้างดอกกุหลาบให้สะอาดก่อน แล้วเด็ดเอาแต่กลีบพักให้สะเด็ดน้ำ    หอมใหญ่ พริกขี้หนู ล้างแล้วก็ซอย พักไว้   เอาน้ำใส่หม้อตั้งไฟพอเดือดเอากุ้งลงไปลวกให้สุก ถ้าใช้หมูสับก็รวนหมูให้สุกก่อนด้วย ลวกกุ้งสุกแล้วก็เอาใส่ชาม พักไว้ก่อน
ทีนี้ทำน้ำยำ โดยเอาพริกขี้หนูซอย น้ำตาล น้ำปลา น้ำมะนาวใส่ถ้วยเล็กๆคนให้ทุกอย่างเข้ากัน ชิมรสตามชอบขาดเหลือเพิ่มเติมได้    ทำน้ำยำเสร็จแล้วก็เอากุ้งสุกแล้ว หอมใหญ่ และน้ำยำผสมรวมกันในชาม คนให้ส่วนผสมเข้ากัน แล้วใส่กลีบกุหลาบลงไป เคล้ากลีบกุหลาบให้เข้ากันกับเครื่องยำ อย่าเคล้าแรงนะเดี๋ยวกลีบกุหลาบจะช้ำไม่น่าทาน เสร็จแล้วตักใส่จานเสริฟได้ จะใช้ผักแต่งหน้าหรือแต่งจานด้วยก็ได้

อาหารจานนี้เหมาะสำหรับเป็นของแกล้มสำหรับผู้ชอบดื่มได้ด้วย รสชาติจะออกขมนิดๆจากดอกกุหลาบนะ

 

เยลลีกลีบกุหลาบ ( rose petal jelly)

ส่วนผสม

กลีบกุหลาบ 3-4 ถ้วย
น้ำเปล่า  4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 4 ถ้วย
น้ำมะนาว
ใบสะระแหน่ 1 ช่อ
ผงวุ้น  1 ห่อ

วิธีทำ

เทน้ำและกลีบกุหลาบใส่หม้อ ตั้งไฟให้เดือด เคียวต่อประมาณ 5 นาที ดับไฟและปิดฝาหม้อ ทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที เติมใบสะระแหน่ลงไปแล้วทิ้งไว้อีก 15 นาที  จากนั้นนำมากรอง   เติมน้ำมะนาว สังเกตดูจะเห็นน้ำสีชมพูคล้ำๆ เริ่มเป็นสีชมพูใสขึ้น  เทกลับลงไปในหม้อ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่ผงวุ้นลงไป แล้วคนจนละลายเข้ากัน   เติมน้ำตาลและตั้งไฟต่ออีกประมาณ 3 นาที ต้องคนไปเรื่อยๆ จากนั้นเทเยลลีลงในขวดแก้วที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยการสเตอรีไรซ์แล้ว  ผนึกฝาขวดแก้วให้แน่น

 

 

 

 

 

ลูกกวาดกลีบกุหลาบ  (candy rose petal)

เครื่องปรุง

กลีบกุหลาบขนาดพอเหมาะ
ไข่ (เอาแต่ไข่ขาว)
น้ำตาล

วิธีทำ

เลือกกลีบกุหลาบขนาดพอเหมาะที่จะทำเป็นลูกกวาด จากนั้นนำไปชุบในไข่ขาวที่ปั่นแล้วให้ชุ่มทั้งกลีบ นำกลีบกุหลาบที่ชุบแล้วคลุกลงไปในน้ำตาลละเอียด จนน้ำตาลเกาะทั่วทั้งกลีบ จากนั้นนำมาวางไว้บนกระดาษไข ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 4-8 ชั่วโมง    ก็จะได้ลูกกวาดกลีบกุหลาบสำหรับทานเล่น หรือใส่ในขนมหรือเครื่องดื่มอื่นๆ หรือใช้ประดับตกแต่งหน้าขนมต่างๆ

ที่มา : http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/bm521/pantipa09_2/rose/content/rosefood.htm

จำนวนดอกกุหลาบ และ ความหมาย ที่แสนจะโรแมนติค

จำนวนดอกกุหลาบ และ ความหมาย ที่แสนจะโรแมนติค
1 = เธอเป็นหนึ่งเดียวของฉันเท่านั้น
2 = มีเพียงเธอ กับ ฉัน
3 = ฉันรักเธอ
5 = การให้ที่ไม่มีอะไรต้องเสียใจ
7 = เราจะพบกับเรื่องมงคล
8 = ชดเชยวันเวลาที่ขาดหายไป
9 = อยู่ด้วยกันให้ยืนยาวและมั่นคง
11 = รักเธอที่สุด
12 = ฉันรักเธอ เธอก็รักฉัน เรารักกัน
24 = ฉันคิดถึงเธอตลอดเวลา
33 = รักกัน 3 ชาติ
50 = ความรักที่ยืนยาวชั่วนิรันดร
66 = ความรักของเรา เหมือนสายน้ำไม่เคยหยุดนิ่ง
100 = เราจะถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรด้วยกัน
101 = รักเรายืนยาวชั่วนิรันดร
108 = ความรักของฉันจะไม่มีที่สิ้นสุด
365 = ฉันคิดถึงเธอทุก-ทุกวัน
999 = รักเธอชั่วฟ้าดินสลาย
1,009 = ฉันรักเธอเพราะเธอเป็นเธอ
9,999 = แทนความจริงใจทั้งหมดที่ฉันมีให้เธอจากนี้และตลอดไป
10,000 = รักเธอเป็นหมื่น-หมื่นปี

ที่มา :  http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1643073

ประโยชน์ของดอกกุหลาบ

ประโยชน์

1.)ปลูกเพื่อความสวยงาม

2.)ตกแต่งสวน

3.)เพิ่มบรรยากาศ

4.)ใช้ประดับตกแต่งบ้าน งานเลี้ยง งานแต่งงาน

5.)ปลูกเพื่อส่งดอกขาย

6.) เพื่อนำไปสกัดน้ำหอม

7.)นำไปทำเป็นส่วนประกอบของสปา

ความหมายของดอกกุหลาบแต่ละสี

ความหมายของดอกกุหลาบแต่ละสี

“ดอกกุหลาบสีแดง”
ไม่ว่าจะเป็นดอกกุหลาบ สีแดงอ่อน หรือสีแดงสด บ่งบอกถึงการตกหลุมรักหรือแอบปลื้มใครซักคน เป็นสื่อแทนใจเพื่อจะบอกให้รู้ว่ามีคนกำลัง แอบปลื้มอยู่ ส่วนดอกกุหลาบสีแดงเข้ม ถ้ามีใครให้ดอกกุหลาบสีแดง รู้ไว้เลย นะว่าเค้าคนนั้น มีความรักที่สุดแสน จะลึกซึ้ง  มั่นคง และแน่นนปึก เรียกได้ว่าความรักนั้น ไม่มีวันจืดจางไป จากหัวใจ


“ดอกกุหลาบสีขาว”
เป็นสีแห่งความรักที่ใสสะอาด บริสุทธิ์น่าทนุถนอมโดยไม่คิด เลยว่าความรักที่มอบให้ไปนั้น จะได้ความรักตอบกลับมา
หรือเปล่า


“ดอกกุหลาบสีชมพู”
เป็นความโรแมนติกที่แสดงถึงความรักที่หวานซึ้งที่ผู้ให้มีต่อผู้รับ แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นความรักที่ลึกซึ้ง
แค่เป็นเพียงรักที่ฉาบฉวยต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อแสวงหาสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดเท่านั้นเอง


“ดอกกุหลาบสีส้ม”
สื่อให้เห็นถึงความสดใส ความเป็นตัวของตัวเอง ของผู้รับ เมื่ออยู่ใกล้แล้วทำให้รู้สึกอบอุ่น และยัง
บ่งบอกความในใจถึงความรักและสิ่งที่ผ่านมาด้วย


“ดอกกุหลาบสีเหลือง”
เป็นตัวแทนแห่งมิตรภาพ และยังสื่อถึงความห่วงใยของผู้ให้ด้วย หลายคนเชื่อว่าเป็นดอกไม้ที่ใช้สำหรับเยี่ยมคนป่วย แต่จริงๆแล้วก็สามารถให้กับเพื่อนๆ เนื่องในโอกาสพิเศษได้เช่นกัน


“ดอกกุหลาบสีฟ้า”
เชื่อว่าเป็นดอกไม้ แห่งความอดทน แข็งแกร่ง ดอกไม้แห่งความฝันที่สวยงาม และมั่นคงตลอดกาล


“ดอกกุหลาบสีม่วง”
บางคนคงคิดว่ามันเป็นดอกกุหลาบที่สื่อถึงความเศร้า นั่นก็เป็นอีกความหมายนึง แต่ถ้ามองในแง่ของความสุข กุหลาบสีม่วงยังสื่อให้เห็นถึงความสำเร็จในชีวิต การงานได้อีกด้วย


“ดอกกุหลาบสีดำ”
ความหมายของกุหลาบดำ แต่อาจจะลืมไปแล้ว จนมาถึงวันนี้ได้รื้อฟื้นความหมายอีกครั้ง หลายคนคงให้สีดำแทนความเสียใจ โศกเศร้า 
แต่ความหมายของกุหลาบสีดำว่าแท้จริงแล้ว ความหมายที่ลึกล้ำ เจ้ากุหลาบดำ นั่นคือ..นิรันดร์ ดังนั้นดอกกุหลาบดำที่หมายถึงรักนิรันดร์ และมันไม่เคยมีจริง


ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1643073

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของดอกกุหลาบ

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Plantae
ดิวิชั่น: Magnoliophyta
ชั้น: Magnoliopsida
อันดับ: Rosales
วงศ์: Rosaceae
วงศ์ย่อย: Rosoideae
สกุล: Rosa
L.
สปีชีส์
มีประมาณ 100-150 สปีชีส์

ประเภทของกุหลาบ
การแบ่งกลุ่มกุหลาบสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ  กุหลาบยุคเก่า (Old Rose) และ กุหลาบยุคใหม่ (Modern Rose) นอกจากนั้นยังแบ่งเป็นประเภทย่อยๆ อีกหลายลักษณะ สำหรับประเภทที่พบปลูกในประเทศไทยได้แก่

Hybrid Tea  ทรงต้นมีขนาดใหญ่ ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ รูปทรงสวยงาม กลีบดอกซ้อน ก้านดอกใหญ่และแข็งแรง มีหลายพันธุ์  นิยมปลูกเป็นไม้ตัดดอก

Floribunda  เป็นลูกผสมระหว่าง  Hybrid TeaกับกุหลาบประเภทPolyantha ซึ่งมีดอกขนาดเล็กและต้นเตี้ย จึงมีทรงต้นและขนาดดอกเล็กกว่าHybrid Tea และมีไม่มากพันธุ์นัก

Grandiflora  พัฒนามากจาก Floribunda แต่มีช่อดอกใหญ่กว่า  ก้านช่อดอกยาวปานกลาง ส่วนรูปทรงดอกคล้าย Hybrid Tea

Miniature  เป็นลูกผสมระหว่าง Floribunda กับ กุหลาบประเภทPolyantha และกุหลาบป่าบางชนิด ทรงพุ่มและดอกมีขนาดเล็ก ดอกดก

Climber มีลำต้นเลื้อย บางพันธุ์เกิดจากการกลายพันธุ์ของทั้งสี่ประเภทข้างต้น

Hybrid Musk  หรือลูกผสมมัสค์ เป็นกุหลาบยุคเก่า ต้นเป็นทรงพุ่ม ออกดอกเป็นช่อใหญ่ ดอกซ้อนขนาดเล็ก

Polyantha  เป็นลูกผสมระหว่างกุหลาบชนิดดอกช่อและต้นเตี้ย แข็งแรง มีดอกตลอดปี ออกดอกเป็นช่อ ดอกซ้อนขนาดเล็ก

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%9A

http://mm0266-tukta.exteen.com/20080706/entry

ประวัติของดอกกุหลาบ

                                                                                                                ประวัติดอกกุหลาบ

กุหลาบเป็นดอกไม้ที่ได้รับความนิยมจากคนทุกยุคทุกสมัยมีประวัติ ความเป็นมาปรากฏให้เห็นตั้งแต่ราว5,000ปีที่ผ่านมาจากชนชาติสุเมเรียนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์บริเวณแม่น้ำไทกรีสและยูเฟตีสหรืออิรักในปัจจุบันต่อมาในราว1,700ปีก่อนคริสต์ศตวรรษที่เกาะครีตซึ่งเกาะนี้เป็นเส้นทางผ่านของการค้าขายระหว่างยุโรปกับสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนท์และเมืองรีแวนต์หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับดอกกุหลาบบที่ปรากฏนี้เป็นภาพเขียนบนผนังในวังที่เรียกว่า Blue bird Fresco บนภาพเขียนนี้มีรูปกุหลาบปรากฏอยู่แต่กุหลาบที่เห็นมีรูปร่างไม่เหมือนกุหลาบจริงเพราะเป็นกุหลาบปิดด้วยทองมีกลีบดอก6กลีบแทนที่จะมี5กลีบเหมือนกุหลาบทั่วไป

           เรื่องราวของกุหลาบได้เผยแพร่จากชาวเกาะครีตไปทางตอนเหนือสู่ประเทศกรีซในสมัยของฮีโรโดตัสในช่วง425-485  ปีก่อนคริสตกาล

           กุหลาบเป็นที่ยอมรับและเป็นที่ชื่นชมของชาวกรีกมาถึงยุคสมัยใหม่

คงต้องกล่าวถึงพระนางโจเซฟินราชินีแห่งฝรั่งเศสผู้ทุ่มเทเงินทองและกำลังคนเพื่อเก็บรวบรวมพันธุ์กุหลาบต่างๆโดยใช้เวลารวมพันธุ์กุหลาบถึง 10 ปี กุหลาบพันธุ์ต่างๆในสวนโจฟินนี้เป็นบรรพบุรุษของกุหลาบในยุคปัจจุบันมีอยู่ประมาณ250 พันธุ์ หลังจากสมัยของโจเซฟินหลายทศวรรษ กุหลาบพันธุ์ใหม่ ๆเกิดขึ้นโดยการผสมกันเองตามธรรมชาติของกุหลาบพันธุ์ต่างๆกุหลาบใหม่ๆในช่วงนี้จึงเป็นลูกผสมที่มีความแปรปรวนทางพันธุกรรมแม้ว่ากุหลาบจะเป็นดอกไม้ที่มีปลูกในเมืองไทยเป็นระยะเวลานานแต่ก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าผู้ใดนำกุหลาบเข้ามาปลูกและตั้งแต่เมื่อใดทราบเพียงแต่ว่ากุหลาบเป็นที่สนใจและปลูกกันอย่างแพร่หลายในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันกุหลาบพันธุ์ต่างๆเหล่านี้คงหายากหรืออาจสูญพันธุ์ไปแล้วเนื่องจากมีกุหลาบใหม่ ๆ ที่มีความสวยงามกว่าเข้ามาแทนที่ ทำให้พันธุ์เก่า ๆเสื่อมความนิยมลง

redrose[2]

ที่มา : https://sites.google.com/site/5181janya/prawati-khx-ngdx

ต้นไม้ของฉัน (ชีววิทยา )

ต้นไม้ของฉัน (ชีววิทยา)

1251984986_30421251984986_3042

มะละกอ

อาณาจักร: Plantae

ดิวิชั่น: Magnoliophyta

ชั้น: Magnoliopsida

อันดับ: Brassicales

วงศ์: Caricaceae

สกุล: Carica

สปีชีส์: C. papaya

ชื่อทวินาม

Carica papaya
L.

ลักษณะทั่วไป
มะละกอเป็นไม้ล้มลุก (บางครั้งอาจเข้าใจผิดว่าเป็นไม้ยืนต้น) ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว 5-9 แฉก เกาะกลุ่มอยู่ด้านบนสุดของลำต้น ภายในก้านใบและใบมียางเหนียวสีขาวอยู่ มะละกอบางต้นอาจมีดอกเพียงเพศเดียว แต่บางต้นอาจมีดอกได้ทั้งสองเพศก็ได้ ผลเป็นรูปรี อาจหนักได้ถึง 9 กิโลกรัม ผลดิบมีสีเขียว และมีน้ำยางสีขาวสะสมอยู่ที่เปลือก ส่วนผลสุก เนื้อในจะมีสีเหลืองถึงส้ม มีเมล็ดสีดำเล็ก ๆ อยู่ภายในกินไม่ได้

โครงสร้างและหน้าที่ของพืช

ราก

 

ราก

 

ต้น

ลำต้น

 

ก้านใบ

 

ก้านใบ

 

Upper

upper

 

Low

 

Lower

 

ประโยชน์
นอกจากการนำมะละกอไปรับประทานสด ๆ แล้ว เรายังสามารถนำไปปรุงอาหาร เช่น ส้มตำ แกงส้ม ฯลฯ หรือนำไปหมักเนื้อให้นุ่มได้อีกด้วย เพราะในมะละกอมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า พาเพน (Papain) ซึ่งสามารถนำเอนไซม์ชนิดนี้ไปใส่ในผงหมักเนื้อสำเร็จรูป บางครั้งนำไปทำเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อยก็ได้
สำหรับสารอาหารในมะละกอนั้น มีดังต่อไปนี้
เนื้อมะละกอสุก
สารอาหาร ปริมาณสารอาหารต่อมะละกอสุก 100 กรัม
โปรตีน 0.5 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
แคลเซียม 24 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.6 มิลลิกรัม
โซเดียม 4 มิลลิกรัม
ไทอะมีน 0.04 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน 0.04 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 0.4 มิลลิกรัม
กรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี) 70 มิลลิกรัม

การปลูกมะละกอ
มะละกอปลูกได้ทั่วไปในทุกภาค ชอบที่ดินร่วนปนทราย ชอบดินเป็นกรดเล็กน้อย น้ำไม่ขัง ต้องการแดดจัด เขตที่มีฝนตกชุกและชุ่มชื้นจะให้ผลดกและไวกว่าเขตแห้งแล้ง มะละกอขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เป็นไม้ที่คนไทยนิยมปลูกตามบ้านชนิดหนึ่ง

สรรพคุณ มะละกอ :

ผลสุก – เป็นมีสรรพคุณป้องกัน หรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบาย

ยางจากผลดิบ – เป็นยาช่วยย่อยโปรตีน ฆ่าพยาธิได้

รากมะละกอ – ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา

ใช้เป็นยาระบาย :ใช้ผลสุกไม่จำกัดจำนวน รับประทานเป็นผลไม้เป็นยาช่วยย่อย

1. ใช้เนื้อมะละกอดิบไม่จำกัด ประกอบอาหาร เช่น ส้มตำ แกง เป้นผักจิ้ม 2. ยางจากผลดิบ หรือจากก้านใบ ใช้ 10-15 กรัม หรือถ้าเป็นตัวยาช่วยย่อย เพราะในยางมะละกอมีสารที่เรียกว่า Papain

เป็นยากัน หรือแก้โรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟัน: ใช้มะละกอสุกรับประทานเป็นผลไม้ ให้วิตามินซีสูง

เท้าบวม: เอาใบมะละกอสดตำให้แหลกผสมกับเหล้าขาว ใช้พอกเท้าที่บวมลดอาการบวมลงได้

แก้เคล็ดขัดยอก: ใช้รากมะละกอสดตำให้แหลกผสมเหล้าโรงพอก

โดนหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน: ให้บ่งปากแผลเปิดออก เอายางมะละกอดิบใส่หนามจะหลุดออก

คันเพราะพิษของหอยคัน: ให้ใช้ยางมะละกอดิบทาเช้า-เย็นจนหาย

เมื่อมีอาการปวดตามข้อและหลัง: รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำป้องกันและบำบัดโรคปวดข้อปวดหลังได้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง ใช้รากมะละกอตัวผู้แช่เหล้าขาวให้ท่วมยาไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำใช้ทาแก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อนแรง ลดอาการปวดบวม ให้เอาใบมะละกอสดย่างไฟหรือลวกกับน้ำร้อนแล้วประคบบริเวณที่ปวด หรือตำพอหยาบห่อด้วยผ้าขาวบางทำเป็นลูกประคบ

ถ้าโดนตะปูตำเป็นแผล: ให้เอาผิวลูกมะละกอดิบตำพอกแผล เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง แผลน้ำร้อนลวก ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปือย ตำพอกที่แผล แผลพุพอง ใช้ใบมะละกอแห้งกรอบบดเป็นผง ผสมกับน้ำกะทิพอเหนียวข้น ใช้พอกหรือทาที่แผลวันละ 2-3 ครั้ง

แก้ผดผืนคัน: ใช้ใบมะละกอ 1 ใบ น้ำมะนาว 2 ผล เกลือ 1 ช้อนชา ตำรวมกันให้ละเอียดเอาทั้งน้ำและเนื้อทาแผลบ่อยๆ กลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุตหรือเท้าเปือย ใช้ยางของลูกมะละกอดิบทาวันละ 3 ครั้งฆ่าเชื้อราได้

ที่มา :  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD

http://www.prc.ac.th/lannagardrn/stand16.html